ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัลที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค Smart City และ Industry 4.0 ข้อมูลวิดีโอได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย, การตรวจสอบกระบวนการผลิต, หรือการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า กล้องวงจรปิดที่มีความละเอียดสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ Full HD, 4K ไปจนถึง 8K ได้มอบภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่คุณภาพที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับ “ราคา” ที่องค์กรต้องจ่าย นั่นคือ ขนาดไฟล์ (File Size) ที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้ต้นทุนการจัดเก็บข้อมูล (Storage Cost) พุ่งสูงขึ้น กลายเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีกล้องหลายร้อยตัวและต้องจัดเก็บข้อมูลย้อนหลังเป็นระยะเวลานาน (เช่น 30-90 วัน) คำตอบสำหรับความท้าทายนี้คือการใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีการบีบอัดวิดีโอ (Video Compression) ที่ทันสมัยที่สุด และในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่โดดเด่นและสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดคือ H.265+
เจาะลึก H.265+ (Smart Codec) สู่ประสิทธิภาพสูงสุด
H.265+ ไม่ใช่มาตรฐานการบีบอัดสากลอย่างเป็นทางการ แต่เป็นเทคโนโลยี Smart Codec หรือ Enhanced Compression Technology ที่ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากมาตรฐาน H.265 (HEVC – High Efficiency Video Coding) โดยผู้ผลิตระบบเฝ้าระวังชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริงในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย (ซึ่งเป็นสถานการณ์ทั่วไปของกล้องวงจรปิดส่วนใหญ่) โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ลด Bitrate ลงได้มากกว่า H.265 ธรรมดาถึง 50-70% ซึ่งหมายถึงการประหยัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลอย่างมหาศาล
นี่คือเทคนิคหลักที่ทำให้ H.265+ สามารถบรรลุผลดังกล่าวได้
1. ROI Encoding (Region of Interest)
H.265+ อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด พื้นที่ที่สนใจ (ROI) ภายในเฟรมภาพ (Frame) เช่น ประตูทางเข้า, ใบหน้าบุคคล, หรือสายพานการผลิต
- หลักการทำงาน ระบบจะใช้ Bitrate สูงสุดเพื่อรักษาคุณภาพของภาพในบริเวณ ROI เท่านั้น ในขณะที่บริเวณอื่นๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่า (เช่น พื้นที่ว่าง, กำแพงด้านข้าง) จะถูกบีบอัดด้วย Bitrate ที่ต่ำกว่าอย่างมาก นี่คือการบีบอัดที่ “ฉลาด” โดยการจัดสรรทรัพยากร (Bitrate) ตามลำดับความสำคัญของข้อมูล
2. Dynamic GOP (Group of Pictures)
โดยปกติวิดีโอจะถูกแบ่งออกเป็น GOP โดยแต่ละกลุ่มจะมี I-Frame (Key Frame) และ P-Frame/B-Frame (Predictive/Bi-directional Frame) ในจำนวนคงที่ (เช่น 30 หรือ 60 เฟรม)
- หลักการทำงาน H.265+ จะปรับขนาด GOP แบบ ไดนามิก (Dynamic) ในสถานการณ์ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวสำคัญ ระบบจะเพิ่มระยะห่างระหว่าง I-Frame ได้อย่างมาก (อาจนานหลายวินาที) ทำให้ลดจำนวน I-Frame ที่กินพื้นที่มากที่สุดในสตรีมวิดีโอลงได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบจะลดระยะห่างของ GOP กลับมาเพื่อรักษาความลื่นไหลของภาพ นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการลด Bitrate ในสภาวะปกติ
3. Noise Suppression (การลดสัญญาณรบกวน)
สัญญาณรบกวน (Noise) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนหรือในสภาพแสงน้อย ทำให้โปรแกรมเข้ารหัสวิดีโอเข้าใจผิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวและต้องใช้ Bitrate เพิ่มขึ้นเพื่อเข้ารหัส “การเคลื่อนไหวปลอม” นั้น
- หลักการทำงาน H.265+ มีอัลกอริทึมที่ชาญฉลาดในการ แยกแยะสัญญาณรบกวนออกจากวัตถุจริง และทำการลบสัญญาณรบกวนออกก่อนการเข้ารหัสอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โปรแกรมเข้ารหัสไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลือง Bitrate ไปกับการเข้ารหัส Noise
การคำนวณและการลดต้นทุนจัดเก็บข้อมูล (Storage Cost Reduction)
การใช้ H.265+ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Total Cost of Ownership (TCO) ของระบบเฝ้าระวังอย่างชัดเจนที่สุดในส่วนของ ค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บข้อมูล (Storage Cost)
ตัวอย่างการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ
| รายละเอียด | H.264 (Baseline) | H.265 (HEVC) | H.265+ (Smart Codec) |
| ความละเอียด | 4MP (2560×1440) @ 20 FPS | 4MP (2560×1440) @ 20 FPS | 4MP (2560×1440) @ 20 FPS |
| Bitrate โดยประมาณ (ในสภาวะปกติ) | 8 Mbps (8,000 Kbps) | 4 Mbps (4,000 Kbps) | 1-2 Mbps (1,000-2,000 Kbps) |
| การประหยัดพื้นที่ (เทียบกับ H.264) | – | ~50% | ~75-80% |
| ขนาดไฟล์ต่อวันต่อกล้อง | 86.4 GB/วัน | 43.2 GB/วัน | 10.8 – 21.6 GB/วัน |
การคำนวณผลกระทบต่อธุรกิจขนาดใหญ่
พิจารณาระบบที่มี 500 กล้อง และต้องการจัดเก็บข้อมูลย้อนหลัง 60 วัน โดยใช้ HDD ขนาด 10 TB
| เทคโนโลยี | ขนาดไฟล์ต่อวันต่อกล้อง | พื้นที่รวม 60 วัน (TB) | จำนวน HDD 10 TB ที่ต้องใช้ |
| H.264 | 86.4 GB/วัน | 2,527 TB | 253 ลูก |
| H.265 | 43.2 GB/วัน | 1,263 TB | 127 ลูก |
| H.265+ | 15 GB/วัน (ค่าเฉลี่ย) | 439 TB | 44 ลูก |
ผลลัพธ์ การเปลี่ยนไปใช้ H.265+ สามารถ ลดจำนวนฮาร์ดดิสก์ที่ต้องใช้ลงจาก 253 ลูกเหลือเพียง 44 ลูก ซึ่งส่งผลให้
- ลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ (CAPEX) ประหยัดเงินทุนในการซื้อ HDD และ NVR/DVR ที่มี Bay น้อยลง
- ลดต้นทุนการดำเนินงาน (OPEX) ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า, ลดความร้อนในห้องเซิร์ฟเวอร์, และลดภาระในการบำรุงรักษา
- ยืดอายุระบบเดิม สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานจัดเก็บข้อมูลเดิมจัดเก็บได้นานขึ้นโดยไม่ต้องขยายระบบ
กรณีศึกษาสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่
H.265+ สร้างมูลค่าสูงสุดในภาคส่วนที่ต้องมีการเฝ้าระวังตลอดเวลาและมีจำนวนกล้องมหาศาล
- 🏭 โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า สถานที่เหล่านี้มักมีกล้องจำนวนมากเพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตและสินค้าคงคลัง โดยส่วนใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหวสำคัญตลอด 24 ชั่วโมง H.265+ จึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในการลด Bitrate ในช่วงที่ไม่มีกิจกรรมสำคัญ
- 🏙️ Smart City / ระบบเฝ้าระวังเมือง กล้องตามสี่แยก, สวนสาธารณะ, และทางหลวงจำเป็นต้องบันทึกตลอดเวลา การประหยัดพื้นที่ 75% ต่อกล้องนับร้อยนับพันตัวทำให้โครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลส่วนกลาง (Central Storage) เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและคุ้มค่า
แม้ H.265+ จะมีประสิทธิภาพสูง แต่การนำมาใช้ก็มีความท้าทายที่องค์กรต้องพิจารณา
- ข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ ต้องใช้กล้อง (IP Camera) และเครื่องบันทึก (NVR/DVR) ที่รองรับเทคโนโลยี H.265+ โดยเฉพาะ ซึ่งอาจหมายถึงการอัปเกรดอุปกรณ์เดิม
- พลังการประมวลผล (Processing Power) การเข้ารหัสและถอดรหัส (Encoding & Decoding) H.265 และ H.265+ มีความซับซ้อนมากกว่า H.264 อย่างมาก ทำให้ต้องการชิปประมวลผล (CPU/Chipset) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในส่วนของกล้องและเครื่อง NVR
สรุป
H.265+ ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรดมาตรฐานการบีบอัด แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจขนาดใหญ่วางแผนและจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บข้อมูลวิดีโอ ด้วยเทคนิคอันชาญฉลาด เช่น Dynamic GOP และ ROI Encoding เทคโนโลยีนี้ช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญสองประการพร้อมกันคือ
- รักษาคุณภาพและความละเอียดสูงของภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยและการวิเคราะห์ข้อมูล
- ลดต้นทุนจัดเก็บข้อมูล (Storage Cost) ลงได้อย่างน่าทึ่งถึง 75-80% เมื่อเทียบกับ H.264
สำหรับองค์กรที่กำลังเผชิญกับความต้องการขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลอย่างไม่สิ้นสุด การลงทุนในเทคโนโลยี H.265+ ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เปลี่ยน ภาระด้านต้นทุน (Cost Liability) ให้กลายเป็น ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ที่ยั่งยืน




