ติดต่อเรา 08.00 - 17.30
โทร 02-943-0180 ต่อ 120
Product categories

MA กับ PM คืออะไร ต่างกันอย่างไร? แบบไหนดีกว่ากัน?

Untitled design

สารบัญ

ในโลกของการดูแลรักษาระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรในโรงงาน ระบบไอทีในองค์กร หรือแม้แต่เครื่องปรับอากาศที่บ้าน เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า “การบำรุงรักษา” หรือ “Maintenance” แต่เมื่อเจาะลึกลงไป คุณอาจจะเคยได้ยินคำว่า “Preventive Maintenance (PM)” และ “Maintenance Service Agreement (MA)” ซึ่งหลายคนอาจจะยังสับสนว่าสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนจะเหมาะสมกับความต้องการของคุณมากกว่ากัน วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่างกันครับ!

Preventive Maintenance (PM) “กันไว้ดีกว่าแก้” คือหัวใจสำคัญ

Preventive Maintenance (PM) หรือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน คือการดำเนินการบำรุงรักษาอุปกรณ์ เครื่องจักร หรือระบบต่างๆ ตามแผนงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือความล้มเหลวที่ไม่คาดคิด โดยปกติแล้วจะมีการกำหนดรอบเวลาในการตรวจสอบ ทำความสะอาด หล่อลื่น ปรับแต่ง หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานที่แนะนำจากผู้ผลิต หรือจากประสบการณ์การใช้งาน

วัตถุประสงค์หลักของ PM คือการ

  • ลดโอกาสในการเกิดความเสียหายฉุกเฉิน การตรวจสอบและแก้ไขจุดบกพร่องเล็กน้อยก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่
  • ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ การดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้อุปกรณ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนานขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อุปกรณ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีมักจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียพลังงาน
  • ลดต้นทุนโดยรวมในระยะยาว แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเป็นประจำ แต่ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมใหญ่ที่มักจะมีราคาสูงกว่ามาก
  • เพิ่มความปลอดภัย อุปกรณ์ที่ได้รับการตรวจสอบสม่ำเสมอจะลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

ตัวอย่างของ PM

  • การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร
  • การทำความสะอาดไส้กรองแอร์ทุก 3 เดือน
  • การตรวจสอบสายพานและระบบเบรกของเครื่องจักรทุก 6 เดือน
  • การอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบความปลอดภัยของระบบเครือข่ายเป็นประจำ

Maintenance Service Agreement (MA) “สัญญาใจ” เพื่อความอุ่นใจ

Maintenance Service Agreement (MA) หรือ สัญญาบริการบำรุงรักษา คือข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างผู้ให้บริการ (Service Provider) และลูกค้า (Customer) ที่ระบุขอบเขตการให้บริการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ระบบ หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยมีการตกลงค่าบริการและระยะเวลาของสัญญาไว้อย่างชัดเจน

โดยทั่วไปแล้ว MA มักจะครอบคลุมบริการ Preventive Maintenance (PM) เป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็อาจจะรวมบริการอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น

  • บริการแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน (Breakdown Maintenance/Corrective Maintenance) การตอบสนองและเข้าแก้ไขเมื่อเกิดปัญหาหรือความล้มเหลวของอุปกรณ์
  • การสนับสนุนทางเทคนิค (Technical Support) การให้คำปรึกษา แนะนำ หรือช่วยเหลือทางเทคนิคผ่านช่องทางต่างๆ
  • การจัดหาอะไหล่ (Spare Parts Provision) อาจรวมค่าอะไหล่ หรือการอำนวยความสะดวกในการจัดหาอะไหล่
  • การอัปเกรดระบบ (System Upgrades) ในบางกรณีอาจรวมถึงการอัปเดตหรืออัปเกรดซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์
  • การรายงานผล (Reporting) การส่งรายงานสรุปผลการบำรุงรักษาหรือสถานะของอุปกรณ์เป็นระยะ

วัตถุประสงค์หลักของ MA คือการ

  • ความสะดวกสบาย ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องการหาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อเกิดปัญหา
  • การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ได้ มีค่าใช้จ่ายคงที่ตามสัญญา ช่วยให้วางแผนงบประมาณได้ง่ายขึ้น
  • ความเชี่ยวชาญ ได้รับบริการจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะทาง
  • การตอบสนองที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน มักจะมี Service Level Agreement (SLA) กำหนดเวลาตอบสนองไว้
  • ลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุดจากปัญหาอุปกรณ์

ตัวอย่างของ MA

  • สัญญาดูแลระบบ IT รายปีกับบริษัทไอที ที่ครอบคลุมทั้ง PM (เช่น การอัปเดต Antivirus, ตรวจสอบ Server) และการแก้ปัญหาเมื่อระบบล่ม
  • สัญญาบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศกับบริษัทผู้ให้บริการ ที่รวมการล้างแอร์เป็นประจำและการซ่อมแซมหากเสีย
  • สัญญาดูแลลิฟต์ในอาคาร ที่ครอบคลุมการตรวจสอบตามรอบ และการแก้ไขเมื่อลิฟต์ขัดข้อง

ความแตกต่างที่สำคัญ สรุปให้เห็นภาพ

คุณสมบัติPreventive Maintenance (PM)Maintenance Service Agreement (MA)
ลักษณะกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามแผนข้อตกลง/สัญญาบริการที่ครอบคลุม
ขอบเขตเน้นการป้องกัน (ตรวจสอบ, เปลี่ยนอะไหล่ตามรอบ)ครอบคลุม PM + การแก้ไขปัญหา, สนับสนุน, อะไหล่ ฯลฯ
การจัดทำอาจทำโดยทีมงานภายใน หรือผู้รับจ้างเป็นครั้งคราวทำโดยผู้ให้บริการภายนอก (Third-party vendor)
เป้าหมายหลักยืดอายุ, ลดเสียฉุกเฉิน, เพิ่มประสิทธิภาพความสะดวก, ความอุ่นใจ, บริหารจัดการง่าย, ความเชี่ยวชาญ
รูปแบบค่าใช้จ่ายจ่ายตามงาน หรือค่าใช้จ่ายภายใน (พนักงาน, อะไหล่)ค่าใช้จ่ายคงที่ตามสัญญา (รายเดือน/รายปี)

แล้วแบบไหน “ดีกว่า” กันล่ะ?

คำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวครับ ขึ้นอยู่กับบริบท ความต้องการ และทรัพยากรของคุณ

เลือก PM (โดยทีมงานภายในหรือจ้างเป็นครั้งคราว) หาก

  • คุณมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและเวลาเพียงพอ สำหรับองค์กรที่มีทีมวิศวกรหรือช่างเทคนิคประจำ
  • อุปกรณ์มีความซับซ้อนไม่มาก และจัดการได้เอง หรือเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการการดูแลที่ไม่บ่อยนัก
  • ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งอย่างใกล้ชิด และสามารถจัดการกับความเสี่ยงเมื่อเกิดปัญหาฉุกเฉินได้
  • ปริมาณอุปกรณ์หรือระบบที่ต้องดูแลไม่มากนัก ทำให้การจัดการภายในเป็นไปได้และคุ้มค่า

เลือก MA หาก

  • คุณต้องการความอุ่นใจและลดภาระในการบริหารจัดการ ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาช่าง การจัดหาอะไหล่
  • ไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือต้องการใช้ทรัพยากรภายในไปกับงานหลักขององค์กร
  • อุปกรณ์หรือระบบมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยิ่ง การหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลกระทบอย่างมาก (เช่น Server, ระบบการผลิต)
  • ต้องการการควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน สามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้
  • ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมี SLA กำหนดเวลาการแก้ปัญหาไว้
  • อุปกรณ์มีมูลค่าสูง มีความซับซ้อน หรือมีจำนวนมาก การมีผู้เชี่ยวชาญดูแลจะคุ้มค่ากว่า

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

  • ขนาดขององค์กรและจำนวนอุปกรณ์ องค์กรขนาดใหญ่มักจะพึ่งพา MA สำหรับระบบที่สำคัญ
  • ความสำคัญของอุปกรณ์ต่อธุรกิจ ยิ่งสำคัญมาก ยิ่งควรมีแผนรองรับที่แข็งแกร่ง (ซึ่ง MA มักจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า)
  • งบประมาณ แม้ MA จะดูมีค่าใช้จ่ายคงที่ แต่ในระยะยาวอาจคุ้มค่ากว่าการซ่อมแซมฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน

บทสรุป

Preventive Maintenance คือ “กิจกรรม” ที่มุ่งเน้นการป้องกันปัญหา ส่วน Maintenance Service Agreement คือ “สัญญา” ที่ครอบคลุมบริการบำรุงรักษาต่างๆ ซึ่งมักจะรวม PM เข้าไปด้วย การทำ PM เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของทรัพย์สิน แต่การมี MA เป็นเหมือนการซื้อความอุ่นใจและความเชี่ยวชาญจากภายนอก ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของคุณได้อย่างเต็มที่

ไม่มีคำตอบตายตัวว่าแบบไหนดีกว่ากัน สิ่งสำคัญคือการประเมินความต้องการ งบประมาณ และความเสี่ยงขององค์กรหรือของตัวคุณเอง เพื่อเลือกแนวทางการบำรุงรักษาที่เหมาะสมที่สุดครับ

ติดต่อ GreatOcean เพื่อรับคำปรึกษาฟรี และค้นพบโซลูชันความปลอดภัยที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณวันนี้!

Line : @greatocean
Tel : 099-495-8880
Facebook : https://www.facebook.com/gtoengineer/
Email : support@gtoengineer.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *