เอาล่ะครับ มาไขความกระจ่างให้หายสับสนกันเสียทีระหว่าง “Windows Security” กับ “Microsoft Defender” สองชื่อที่วนเวียนอยู่ในโลกความปลอดภัยของ Windows จนหลายคนอาจเกาหัวว่าตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่? มันเป็นแค่โปรแกรมป้องกันไวรัสธรรมดาๆ หรือมีอะไรที่ซับซ้อนและดูแลเราได้มากกว่านั้น? บทความนี้จะพาทุกท่านดำดิ่งสู่รายละเอียด เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแต่ละชื่อนั้นหมายถึงอะไร และมันทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณอย่างไร
จุดเริ่มต้นของความสับสน ชื่อนั้นสำคัญไฉน?
เป็นเรื่องจริงที่ว่าเมื่อพูดถึง “Microsoft Defender” ภาพแรกที่ผุดขึ้นในใจของผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็คือ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่แถมมากับระบบปฏิบัติการ Windows แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชื่ออย่างเป็นทางการของชุดเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งมากับ Windows นั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น “Windows Security” มาหลายปีดีดักแล้ว อย่างไรก็ตาม การจะเรียกว่า Microsoft Defender ก็ไม่ถือว่าผิดเสียทีเดียว เพราะเอนจิ้น (Engine) หรือกลไกหลักในการตรวจจับและป้องกันไวรัสที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง Windows Security นั้น ยังคงใช้ชื่อว่า “Microsoft Defender Antivirus” อยู่นั่นเอง
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น! ยังมีแอปพลิเคชันอีกตัวที่ใช้ชื่อว่า “Microsoft Defender” ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก Microsoft 365 โดยเฉพาะ แอปฯ นี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการความปลอดภัยของอุปกรณ์หลายเครื่องในเครือข่ายของคุณได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 เครื่อง
เมื่อความแตกต่างยังดูคลุมเครือ เรามาย้อนรอยดูประวัติความเป็นมาของ “Defender” กันสักหน่อย เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตำนาน Defender จากผู้พิทักษ์เฉพาะทาง สู่เกราะป้องกันรอบด้าน
เรื่องราวของ Defender เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Microsoft เข้าซื้อกิจการบริษัท GIANT Software ในปี 2004 (พ.ศ. 2547) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สปายแวร์ (Spyware) และแอดแวร์ (Adware) กำลังระบาดอย่างหนักในหมู่ผู้ใช้ Windows การเข้าซื้อครั้งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรับมือกับปัญหาดังกล่าว
หลังจากนั้นไม่นาน Microsoft ได้รีแบรนด์ซอฟต์แวร์ตัวนี้เป็น “Windows AntiSpyware” และเปิดให้ผู้ใช้ Windows XP ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี ต่อมาในปี 2005 (พ.ศ. 2548) มันถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่กำลังจะเปิดตัว
ในช่วงแรก Windows AntiSpyware ทำหน้าที่ป้องกันได้เพียง Adware และ Spyware เท่านั้น หากผู้ใช้ต้องการการป้องกันมัลแวร์ (Malware) ประเภทอื่น ๆ เช่น หนอนคอมพิวเตอร์ (Computer Worms) หรือโทรจัน (Trojans) ก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสจากผู้พัฒนาภายนอกอยู่
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2012 (พ.ศ. 2555) พร้อมกับการเปิดตัว Windows 8 เมื่อ Microsoft ได้เปิดตัว “Windows Defender” เวอร์ชันใหม่ ที่มาแทนที่ Microsoft Security Essentials (ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีมาตั้งแต่ปี 2009) Windows Defender เวอร์ชันนี้ได้รับการยกเครื่องใหม่ให้สามารถตรวจจับมัลแวร์ได้ครอบคลุมทุกประเภท และกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อมาถึงยุคของ Windows 10, Microsoft ได้พัฒนาให้ Windows Defender มีความสามารถในการดูแลความปลอดภัยที่กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และผู้ใช้สามารถจัดการทุกอย่างผ่านศูนย์กลางที่เรียกว่า “Windows Defender Security Center”
และในปัจจุบัน “Windows Defender Security Center” ก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “Windows Security” ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการหลักในการดูแลส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดของระบบปฏิบัติการ Windows
Windows Security ป้อมปราการดิจิทัลประจำเครื่องของคุณ
Windows Security ไม่ได้เป็นเพียงโปรแกรมป้องกันไวรัส แต่เป็นชุดเครื่องมือรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Windows โดยประกอบด้วยโมดูล (Module) หรือองค์ประกอบย่อยๆ ที่ทำงานประสานกันเพื่อปกป้องคอมพิวเตอร์และข้อมูลของคุณในหลายมิติ ดังนี้
- Virus & Threat Protection (การป้องกันไวรัสและภัยคุกคาม)
- นี่คือที่อยู่ของ Microsoft Defender Antivirus หัวใจหลักในการตรวจจับและกำจัดมัลแวร์ทุกรูปแบบ
- รวมถึงคุณสมบัติ Ransomware Protection ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงโฟลเดอร์สำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสกัดกั้นภัยจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่
- Account Protection (การป้องกันบัญชี)
- ควบคุมการตั้งค่าการลงชื่อเข้าใช้ Windows และการซิงค์ข้อมูลสำคัญของผู้ใช้กับบริการคลาวด์ OneDrive เพื่อให้มั่นใจว่าบัญชีของคุณปลอดภัย
- Firewall & Network Protection (ไฟร์วอลล์และการป้องกันเครือข่าย)
- บริหารจัดการ Windows Firewall เพื่อควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณกับเครือข่ายภายนอก ป้องกันการบุกรุกที่ไม่พึงประสงค์
- App & Browser Control (การควบคุมแอปและเบราว์เซอร์)
- มอบตัวเลือกมากมายในการรักษาความปลอดภัยขณะใช้งานแอปพลิเคชันและการท่องเว็บไซต์
- มีระบบ SmartScreen ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์อันตราย และการดาวน์โหลดไฟล์ที่อาจเป็นภัย รวมถึงการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing)
- Device Security (ความปลอดภัยของอุปกรณ์)
- รวมฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์รักษาความปลอดภัยในคอมพิวเตอร์ของคุณ เช่น Trusted Platform Module (TPM) หรือ Secure Boot เพื่อยกระดับการป้องกันในระดับฮาร์ดแวร์
- Device Performance & Health (ประสิทธิภาพและสถานภาพของอุปกรณ์)
- แสดงรายงานเกี่ยวกับสถานะความปลอดภัยโดยรวมของระบบปฏิบัติการ รวมถึงปัญหาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพ เช่น พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเหลือน้อย หรือไดรเวอร์ที่ต้องอัปเดต
- Family Options (ตัวเลือกสำหรับครอบครัว)
- เชื่อมโยงไปยังระบบการจัดการออนไลน์ของ Microsoft ที่ให้ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าการควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ของบุตรหลานในบัญชี Microsoft ได้
- Protection History (ประวัติการป้องกัน)
- บันทึกการดำเนินการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไวรัส ภัยคุกคาม และโปรแกรมที่อาจไม่พึงประสงค์ ทำให้คุณสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
Microsoft Defender (แอปพลิเคชันสำหรับสมาชิก Microsoft 365) เกราะเสริมข้ามแพลตฟอร์ม
ทีนี้มาถึง “Microsoft Defender” ที่เป็นแอปพลิเคชันแยกต่างหาก ซึ่งบางครั้งอาจเรียกว่า “Microsoft Defender for Individuals” โปรดอย่าสับสนแอปฯ นี้กับ “Microsoft Defender Antivirus” ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Windows Security นะครับ
แอปพลิเคชัน Microsoft Defender เปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2022 (พ.ศ. 2565) โดย สงวนสิทธิ์เฉพาะสำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family เท่านั้น มันถูกออกแบบมาเพื่อเสริมการป้องกันภัยออนไลน์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และสามารถทำงานร่วมกับ Windows Security หรือแม้กระทั่งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสจากผู้ให้บริการรายอื่นได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปจะถูกติดตั้งมาพร้อมกับชุดโปรแกรม Office หรือหากไม่ ก็สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Microsoft Store (สำหรับผู้มีสิทธิ์)
จุดเด่นของแอปฯ Microsoft Defender คือ
- การจัดการความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ (Central Dashboard) สามารถดูแลความปลอดภัยของอุปกรณ์ได้สูงสุด 5 เครื่อง (รวมอุปกรณ์เครื่องแรกที่เป็นของผู้สมัครสมาชิกหลัก) ผ่านหน้าจอควบคุมเดียว
- รองรับหลายแพลตฟอร์ม (Multi-Platform Support) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คอมพิวเตอร์ PC หรือโน้ตบุ๊ก Windows เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง macOS, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตระบบ Android และ iOS ด้วย
- การแจ้งเตือนภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ สามารถแจ้งเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามที่ตรวจพบบนอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ไปยังทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่พร้อมกัน
- ทำงานร่วมกับระบบป้องกันไวรัสอื่นได้ สามารถส่งต่อการแจ้งเตือนจากโปรแกรมป้องกันไวรัสอื่นที่คุณใช้งานอยู่ เช่น Avast หรือ Norton มาแสดงในแดชบอร์ดของ Microsoft Defender ได้
คุณสมบัติหลักๆ ของแอปฯ Microsoft Defender ประกอบด้วย
- Identity Theft Monitoring (การเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว)
- ด้วยความร่วมมือกับ Experian (ผู้ให้บริการข้อมูลเครดิตรายใหญ่) Microsoft Defender สามารถช่วยแจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Breaches) และกิจกรรมที่น่าสงสัยว่าเป็นการฉ้อโกง
- บริการนี้ในบางภูมิภาคยังมาพร้อมกับความคุ้มครองทางการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลส่วนตัว และเงินชดเชยหากตกเป็นเหยื่อการโจรกรรมข้อมูล (รายละเอียดความคุ้มครองอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ)
- Device Protection (การป้องกันอุปกรณ์)
- ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะความปลอดภัยและกิจกรรมที่น่าสงสัยบนอุปกรณ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่อ (สูงสุด 5 เครื่อง หรืออุปกรณ์ในกลุ่ม Microsoft Family)
- ระบบจะแจ้งเตือนผ่าน Windows Notification System และสามารถดูการแจ้งเตือนผ่านแอปฯ Defender ได้โดยตรง
- หมายเหตุ ก่อนหน้านี้ Microsoft Defender เคยมีคุณสมบัติ VPN ในตัวที่เรียกว่า “Privacy Protection” ซึ่งให้บริการข้อมูลสูงสุด 50GB ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 (พ.ศ. 2567) Microsoft ได้ประกาศยุติการให้บริการ Privacy Protection และนำคุณสมบัตินี้ออกจาก Microsoft Defender บนทุกแพลตฟอร์มแล้ว
สรุปความแตกต่าง Windows Security ปะทะ Microsoft Defender (แอปฯ) ใครเป็นใคร?
เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด
- Windows Security คือ ชุดเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ฟรีกับ Windows ทุกเวอร์ชันลิขสิทธิ์ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันหลักสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันไวรัส ไฟร์วอลล์ ไปจนถึงการดูแลสุขภาพของอุปกรณ์
- หัวใจของการป้องกันไวรัสใน Windows Security คือ “Microsoft Defender Antivirus”
- Microsoft Defender (แอปพลิเคชัน) คือ บริการเสริมด้านความปลอดภัยสำหรับสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family เท่านั้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการและยกระดับความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์หลายเครื่อง (Windows, macOS, Android, iOS) ของคุณและครอบครัว พร้อมคุณสมบัติเพิ่มเติมเช่น การเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว
ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกัน
Windows Security และแอปพลิเคชัน Microsoft Defender ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกัน แต่เพื่อ ทำงานร่วมกันอย่างเสริมประสิทธิภาพ
- หากคุณเป็นผู้ใช้ Windows ทั่วไป คุณจะได้รับการปกป้องจาก Windows Security เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งก็มีความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
- หากคุณเป็นสมาชิก Microsoft 365 การติดตั้งแอปฯ Microsoft Defender เพิ่มเติม จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากการจัดการความปลอดภัยข้ามอุปกรณ์ที่ง่ายขึ้น การแจ้งเตือนแบบรวมศูนย์ และคุณสมบัติพิเศษอย่างการเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มชั้นการป้องกันอีกระดับ
แล้วฉันควรเลือกอะไร?
- สำหรับผู้ใช้ Windows ทุกคน Windows Security คือสิ่งที่คุณมีและควรเปิดใช้งานอยู่เสมอ มันเป็นรากฐานความปลอดภัยที่สำคัญ
- สำหรับสมาชิก Microsoft 365 Personal หรือ Family การใช้งานแอปฯ Microsoft Defender ร่วมกับ Windows Security (หรือโปรแกรมป้องกันไวรัสอื่นที่คุณเลือก) ถือเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะช่วยเสริมการป้องกันให้ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ในครอบครัว และเพิ่มความอุ่นใจด้วยบริการเฝ้าระวังข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากค่าสมาชิก Microsoft 365
- สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก Microsoft 365 แต่ต้องการคุณสมบัติขั้นสูง หากคุณมองหาคุณสมบัติเฉพาะทาง เช่น VPN ที่มีความสามารถสูง, เครื่องมือจัดการรหัสผ่านที่ซับซ้อน หรือหน้าตาโปรแกรมที่แตกต่างออกไป ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและชุดรักษาความปลอดภัยจากผู้พัฒนารายอื่นก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
บทสรุปส่งท้าย
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Windows Security และแอปพลิเคชัน Microsoft Defender คือกุญแจสำคัญในการเลือกใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ Windows Security มอบการป้องกันที่แข็งแกร่งและครอบคลุมสำหรับคอมพิวเตอร์ Windows ของคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในขณะที่แอปพลิเคชัน Microsoft Defender มอบสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก Microsoft 365 เพื่อยกระดับการป้องกันข้ามอุปกรณ์และเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อข้อมูลส่วนบุคคล
ในโลกดิจิทัลที่ภัยคุกคามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา การมีเกราะป้องกันที่เหมาะสมและเข้าใจเครื่องมือที่เรามีอยู่ ย่อมช่วยให้เราท่องโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นครับ!